วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

5 อาหารประจำวัน บั่นทอนสุขภาพเกินคาด

 

อาหาร



          คุณอาจไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณกินแต่ของดีมีประโยชน์ บางทีสิ่งที่เรากินเข้าไปอาจเป็นยาพิษบ่อนทำลายทางอ้อมก็ได้ เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง...
มาร์การีน

1.มาร์การีน

          มาร์การีนส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยไขมันแปรรูปที่จะเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอล "เลว" (LDL) ในขณะที่ลดปริมาณคอเลสเตอรอล "ดี" (HDL) ทำให้หลอดเลือดอุดตัน และด้วยปริมาณแคลอรีสูงถึง 100 แคลอรีต่อช้อนชา จึงอาจทำให้ไขมันรอบเอวสะสมมากขึ้น จึงมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อเป็นทางเลือก คุณอาจจะเลือกใช้เนยแบบแคลอรีต่ำหรือแบบลดไขมัน
น้ำอัดลม

2.น้ำอัดลม

          แคลอรีทั้งหมดในน้ำอัดลมมาจากน้ำตาล หรือน้ำเชื่อมข้าวโพดที่มีฟรักโทสสูง และแคลอรีเหล่านี้ นี่เองที่รับผิดชอบการแพร่ระบาดของ "โรคอ้วน" ในปัจจุบันการดื่มน้ำอัดลมยังสร้างความเสียหายให้ฟัน และทำให้เกิดการก่อตัวของหินปูน นอกจากนี้ ยังเคยมีการศึกษาว่าอาจจะทำให้กระดูกอ่อนแอลงเสียด้วยซ้ำ
นม

3.นม

          นมธรรมดาเต็มไปด้วยไขมันอิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันที่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลเลว กระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกาย และอาจจะเป็นปัจจัยทำให้เส้นเลือดอุดตัน หนำซ้ำมักจะมีแคลอรีมากกว่า นมไขมันต่ำด้วย ทางเลือกที่ดีคือ นมขาดมันเนย หรือนมไขมันต่ำ ซึ่งลดสารอาหารที่ไม่ดีต่อร่างกายลง แต่ก็ยังครบถ้วนไปด้วยโปรตีน แคลเซียม วิตามินดี และโพแทสเซียม
ขนมปัง

4.ขนมปังขาว

          ขนมปังขาวนั้นทำมาจากแป้งสาลี ซึ่งใยอาหารและแร่ธาตุจะถูกขัดออกจนหมด ในขณะที่ขนมปังโฮลวีต 100% นั้นดีต่อสุขภาพมากการกินธัญพืชอย่างน้อย 3 หน่วยบริโภคต่อวัน จะช่วยลดความดันโลหิต ลดโอกาสเกิดโรคหัวใจและเบาหวานประเภทสองได้ด้วย
hotdog

5.ฮอตดอก

          เกือบร้อยละ 80 ของแคลอรีทั้งหมดในฮอตดอกทั่วไปมาจากไขมันอิ่มตัว การกินเนื้อสัตว์แปรรูปเป็นประจำอาจทำให้มีปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็งลำไส้ ดังนั้น คุณอาจกินเนื้อไก่ไม่ติดมันหรือไส้กรอกไก่แทน จะได้รับไขมันน้อยกว่าแต่มีโปรตีนมากกว่าเยอะ

จาก นิตยสาร Lisa

ระวัง!!!

หมอเตือนซ้ำใส่คอนแทคเลนส์ทำตาอักเสบ





          หมอเตือนอย่าใส่คอนแทคเลนส์มากเกินไปทำให้ตาอักเสบ แนะอย่าใส่เกิน 7 ชั่วโมง ห้ามใส่นอน และควรหลีกเลี่ยงใส่ให้น้อยที่สุดจะดีกว่า

          รองศาสตราจารย์นายแพทย์ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ยกตัวอย่างกรณีที่นักแสดงสาว ไอซ์-ปรีชญา พงษ์ธนานิกร จากภาพยนตร์เรื่อง ATM เออรัก เออเร่อ เกิดปัญหาทางสายตาเนื่องจากการใส่คอนแทคเลนส์มาพูดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า อาการที่เกิดขึ้นกับนักแสดงสาวนั้นเกิดมาจากภาวะกระจกตาอักเสบซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลานสาเหตุ ได้แก่ ผู้ใส่รักษาความสะอาดไม่ดีจึงติดเชื้อ หรือ เกิดจากการมใส่คอนแทคเลนส์ตลอดเวลา

          โดยการใส่คอนแทคเลนส์นั้นไม่ควรใส่ติดต่อกันเกิน 6-7 ชั่วโมง ห้ามใส่นอนเด็ดขาด และควรใส่ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากกระจกตาเป็นส่วนหน้าของลูกตาที่มีความใส ลักษณะเป็นแผ่นบางเหนียว คลุมอยู่บนตาดำ เป็นส่วนหนึ่งในการรับแสงให้หักเหผ่านเลนส์ตาและตกลงบนจอตา ทำให้มองเห็นภาพชัดเจน ที่กระจกตามีเส้นประสาทรับความรู้สึก ดังนั้น ถ้ากระจกตาถลอกหรือมีแผลจะทำให้ปวดมาก น้ำตาไหล ไม่สู้แสง และกระจกตาต้องการออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงหากมีการปิดกั้นออกซิเจนมาก^ๆ จะทำให้กระจกตาเสื่อม หรือหากเกิดอาการกระจกตาอักเสบหรือติดเชื้อ อาจถึงขั้นต้องผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา

          ทั้งนี้สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นหรือต้องการใส่คอนแทคเลนส์อยู่ ต้องรักษาความสะอาดเป็นสำคัญ ล้างมือด้วยสบุ่ก่อนใส่และหลังถอดคอนแทคเลนส์ ควรใส่ก่อนการแต่งหน้าและถอดออกก่อนล้างเครื่องสำอาง ห้ามแลกกันใส่กับผู้อื่น เมื่อพบมีรอยฉีกขาดหรือเกินกำหนดให้ทิ้งทันที หากใส่แล้วมีอาการเคืองตาให้รีบถอด ห้ามใช้น้ำก็อกล้างเลนส์ต้องมีน้ำยาล้างเลนส์โดยเฉพาะ และที่สำคัญห้ามใส่นอนหรือใส่นอนเกินไป

จาก มติชนออนไลน์

10 เคล็ดลับสุขภาพดี

  

     ปัญหาสุขภาพเป็นเรื่องยอดฮิตติดปากของคนไทยทุกวันนี้แล้ว  เห็นได้จากการทำบุญไหว้พระ  คำว่า  "ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง"  กลายเป็นคำอธิษฐานมาแรงแซงหน้าในยุคปัจจุบัน  จึงเป็นเหตุผลให้ผู้คนมากมายในสังคมมองหาหนทางรักษาสุขภาพของตัวเอง  เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยอันนำมาซึ่งความเสียหายและปัญหาอื่นๆ  ตามมามากมาย
     ล่าสุด  นิตยสาร  H  to  H  Magazine  ได้รายงาน  "10  ทิปเพื่อการมีสุขภาพดี"  โดยสนับสนุนข้อมูลจากโรงพยาบาลเปาโล  เมโมเรียล  เราจึงนำมาบอกต่อเพื่อให้คุณๆ  ได้ลองพิจารณา  เพราะไม่ใช่เรื่องยากเลย

     1.แอปเปิ้ลวันละผล..คำพูดที่ว่า  an  apple  a  day,  keeps  doctor  away  เป็นจริงเสมอ  จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยลอนดอนพบว่า  การรับประทานแอปเปิลวันละผลจะทำให้การทำงานของปอดดีขึ้น  จากแอนติออกซิเดนต์และสารในแอปเปิลที่เรียกว่า  quercetin  ซึ่งช่วยทำให้ปอดแข็งแรงและทำงานได้อย่างเป็นระบบ
     2.หายใจลึกๆ..เราควรหายใจให้ลึกเพื่อขยายการทำงานของปอด   และทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ   แต่ทุกวันนี้เรามักหายใจสั้นๆ   เนื่องจากการทำงานในที่อับทึบ  หรือเพราะความไม่รู้  เพราะฉะนั้นในแต่ละวันลองหายใจลึกๆ  ให้ได้อย่างน้อยวันละ  10  ครั้ง  และต้องเป็นแบบหายใจเข้า  ท้องป่อง  หายใจออก  ท้องแฟบด้วย  จึงจะเรียกว่าถูกวิธี
     3.หลีกเลี่ยงการนำผักเข้าไมโครเวฟ..จากการวิจัยของสเปนพบว่า  การทำผักให้สุกในไมโครเวฟจะทำให้สารอาหารหายไปได้ถึง  97  เปอร์เซ็นต์  เพราะฉะนั้นทางเลือกที่เราควรจะเลือกคือ  การรับประทานผักสดๆ  หลีกเลี่ยงผักแบบไมโครเวฟ  แม้อาหารกล่องอาจให้รสอร่อย  แต่จงรู้ไว้ว่าสารอาหารนั้นไม่มีเหลือแล้ว
     4.ขยับตัวเสมอ..สังเกตไหม   คนที่ขยับตัวอยู่เสมอจะมีระบบย่อยอาหารที่ดีกว่าคนที่เอาแต่นั่ง  วิธีนี้ช่วยป้องกันอาการท้องผูก  รวมไปถึงโรคกระดูกพรุนด้วย
     5.ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว..น้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง  มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน  เช่น  โพแทสเซียม  เหล็ก  โซเดียม  แคลเซียม  ฟอสฟอรัส  กรดอะมิโน  และวิตามินบี  แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที  มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย  และมีประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกาย  เป็นต้น
     6.เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง..ในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง   เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น  การรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลต่อการเกิดอาการชักได้
     7.กินส้มช่วยแก้อาการเบื่อหน่ายได้..การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเอง  จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย  และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ  ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดได้ดีออกมาด้วย
     8.การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม..อาหารมื้อเช้าช่วยต่อต้านการแข็งตัวของเลือด   เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ   จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดจะอุดตันมากขึ้น  สารอาหารไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง  สมองจึงค่อยๆ  เสื่อม
     9.ดาร์กช็อกโกแลตต่อต้านอนุมูลอิสระ..รู้ไหมว่า  ช็อกโกแลตชนิดอื่นๆ  แทบไม่มีส่วนผสมของโกโก้เลย  มีเพียงดาร์กช็อกโกแลตเท่านั้นที่เป็นช็อกโกแลตแท้ๆ  และยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย  เพราะมีสารเฟลวานอยด์ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนระบบหลอดเลือด  โดยปริมาณที่เหมาะสมคือ  ในแต่ละวันให้รับประทานช็อกโกแลตดำประมาณครึ่งออนซ์
     10.สมการความสุข  y=b+c..y  คือ  ความสุข  b  คือ  ความรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะมีความสุข  อาทิ  มีความเข้าใจชีวิตว่าเป็นอย่างไร  รู้จักองค์ประกอบของชีวิต  เป็นต้น  c  คือ  ความอยากในชีวิต  หากมีความอยากมากกว่าความรู้ที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข  คนคนนั้นก็มีความสุขที่ติดลบ

ที่มา ไทยโพสต์

รู้จักหั่นแครอท..ต้านมะเร็ง

 


ว่ากันว่า “แครอท” มีสารต้านมะเร็งอยู่ในตัวของมัน แต่ว่าถ้าหากเราไม่รู้จักวิธีที่จะนำมารับประทานให้ถูกต้อง แครอทก็ไม่แตกต่างจากผักอื่นๆ ค่ะ
ล่าสุดมีรายงานข่าวบอกว่า นักวิจัยแนะนำอย่าหั่นแครอทเป็นชิ้นๆ ก่อนปรุงอาหาร เพราะจะสูญเสียประสิทธิภาพของสารต้านมะเร็งที่อยู่ในแครอท
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล พบว่า หากนำแครอทมาต้มก่อนหั่นเป็นชิ้น แครอทจะมีสาร “ฟอลคารินอล” ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็ง มากกว่าหั่นเป็นชิ้นก่อนนำไปต้มถึง 25% สารฟอลคารินอลมีประโยชน์ในการต้านเซลล์มะเร็ง เพราะจากการทดลองกับหนูที่ให้กินสารชนิดนี้พบว่ามีพัฒนาการของเนื้อร้ายลดลง ซึ่งผลการศึกษาจะเสนอต่อที่ประชุมโภชนาการและสุขภาพที่ประเทศฝรั่งเศส
ดร.เคอร์สเทน แบรนด์ท หัวหน้านักวิจัยจากคณะเกษตร อาหารและการพัฒนาท้องถิ่นของมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล กล่าวว่า การหั่นแครอทเป็นชิ้นเพิ่มพื้นที่ผิว ซึ่งจะทำให้สารอาหารถูกกรองทิ้งลงไปรวมกับน้ำในขณะประกอบอาหาร แต่ถ้าต้องการให้สารอาหารเหล่านี้ยังคงมีอยู่อย่างเต็มที่ ก็จะต้องหั่นเป็นชิ้นหลังปรุงเสร็จแล้ว
นักวิจัยระบุว่า หนูทดลองที่กินอาหารซึ่งประกอบด้วยแครอท หรือสาร “ฟอลคารินอล” จะมีโอกาสน้อยลงถึง 30% ที่เนื้อร้ายจะพัฒนาเป็นมะเร็งอย่างเต็มที่
นักวิจัยบอกด้วยว่า แครอทเมื่อถูกทำให้ร้อน ความร้อนจะฆ่าเซลล์ ทำให้สูญเสียความสามารถที่จะเก็บน้ำไว้ภายใน แต่สาร “ฟอลคารินอล” จะมีความเข้มข้นขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความร้อนทำให้ผนังเซลล์แครอทอ่อนนุ่ม ทำให้สารอาหารที่สามารถละลายได้ในน้ำ เช่น น้ำตาลและวิตามินซีสูญเสียไปทางพื้นผิวของเนื้อเยื่อ เช่นเดียวกับ “ฟอลคารินอล” ก็จะถูกกรองทิ้งออกไปด้วย และถ้าเราหั่นแครอทก่อนนำมาประกอบอาหารก็จะยิ่งเพิ่มพื้นที่หน้าตัดของเนื้อเยื่อ การสูญเสียสารอาหารก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น

จาก ไทยโพสต์

Pitbull - Give Me Everything ft. Ne-Yo, Afrojack, Nayer

Colbie Caillat - I Do

Far East Movement - Rocketeer ft. Ryan Tedder

งานเต้นรำในคืนพระจันทร์เต็มดวง

กะหล่ำปลีลดอ้วน

 


         
          เมื่อไม่นานมานี้ สาวๆ ที่กำลังลดความอ้วนคงได้ยินข่าวของยาลดความอ้วนที่อันตรายถึงชีวิต 
          นี่เป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งว่าการลดความอ้วนแบบธรรมชาตินั้นปลอดภัยที่สุด วันนี้เรามีผักแสนอร่อยที่ช่วยควบคุมน้ำหนักมาแนะนำค่ะ 
          ผักที่ว่านี้คือกะหล่ำปลีแบบบ้านๆ ของเรานี่เอง เพราะล่าสุดมีงานวิจัยสนับสนุนว่ากะหล่ำปลีมีกรดทาร์ทาริก ช่วยยับยั้งขัดขวางไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายไปเป็นไขมัน จึงช่วยลดน้ำหนักได้
          วิธีปรุง อาจรับประทานเป็นผักสลัด เพราะกะหล่ำปลีดิบยังมีวิตามินซีสูง หากปรุง ควรปรุงด้วยการนึ่ง อบไมโครเวฟ หรือผัด จะช่วยคงคุณค่าของสารอาหารไว้ได้ดีที่สุด 
          อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานแต่พอเหมาะ เพราะการรับประทานกะหล่ำปลีมากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาเรื่องต่อมไทรอยด์ได้ 

ที่มา ชีวจิต

8 ภาษาท่าทาง ที่ช่วยให้คุณได้งาน

 

สมัครงาน


ภาษาท่าทางในการเข้าสัมภาษณ์งานมีส่วนในการทำให้นายจ้างตัดสินใจรับคุณเข้าทำงาน
ภาษาท่าทางมีความสำคัญทั้งในการเข้าสังคม ชีวิตประจำวันและการเข้าสัมภาษณ์งาน เพราะภาษาท่าทางบอกถึงบุคลิกของคุณที่จะส่งสัญญาณให้คู่สนทนารู้จักตัวตนของคุณในขณะนั้น โดยไม่ต้องเปล่งออกมาเป็นวาจา ที่สำคัญคือ การสนทนาระหว่างผู้สมัครงาน และนายจ้าง มีความสำคัญมาก รวมทั้งภาษาท่าทางที่จะเป็นคะแนนบวกหรือลบในการตัดสินใจรับคุณเข้าทำงาน และผู้สมัครงานเองก็มักแสดงภาษาท่าทางออกมาโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องเข้าสัมภาษณ์งานในคราวต่อไป คุณก็ควรใส่ใจกับข้อแนะนำต่อไปนี้
 1. อย่าเสแสร้ง
แน่นอนว่า การสัมภาษณ์งานนั้น ภาพลักษณ์ของผู้สมัครมีความสำคัญไม่น้อย แต่ก็ไม่ควรเมกอัพจนหน้าหนาเตอะเหมือนนางงิ้ว และไม่ควรแต่งกายจนเว่อร์เกินงาม ควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ไม่แสดงท่าทางออกนอกหน้าจนดูเหมือนเสแสร้งหรือเกร็ง จนขาดความเป็นธรรมชาติ คุณควรวางตัวปกติ ดูเป็นธรรมชาติ
 2. การวางท่าทาง
เมื่อเข้าไปนั่งในห้องให้สัมภาษณ์ คุณควรทักทายอย่างพองาม และนั่งตัวตรงแต่ไม่แข็งทื่อ ไม่นั่งตัวงอหรือหดตัวซุกเก้าอี้เหมือนแมวที่ขลาดกลัว
 3. นั่งสบายๆ
อย่านั่งซะชิดขอบเก้าอี้แบบไม่เต็มก้นเหมือนเตรียมจะลุกหนี่ หรือดูลุกรี้ลุกรน ควรนั่งเต็มเก้าอี้ ร่างกายท่อนบนไม่ขดงอ นั่งตัวตรงสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง ขาชิดกัน
 4. อย่าเกร็ง
ความเครียดจะทำให้ร่างกายเกร็งจนเห็นได้ชัด เช่น นั่งคอแข็ง ตัวแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ ทางที่ดีควรนั่งลงแล้วค่อยๆ ผ่อนคลายตามคู่สนทนาขณะสัมภาษณ์
 5. อย่าแสดงท่าทางขาดความมั่นใจ
พยายามเก็บไม้เก็บมือซุกนั่นซุกนี่ หรืออย่าแสดงความไม่มั่นใจออกมาด้วยการยกมือเกาท้ายทอยหรือเกาจมูกหรือลูบผมไปมา และไม่ควรยกมือมาไขว้กัน เพราะมันเป็นสัญญาณการต่อต้านเงียบๆ ทำให้นายจ้างไม่ให้คะแนนบวก
 6. ยิ้ม
อย่าวางหน้าตายขณะให้สัมภาษณ์​ ควรยิ้มเล็กน้อยเพื่อให้ใบหน้าดูเป็นมิตร เพราะเมื่อปากยิ้มคุณก็จะได้คะแนนความอบอุ่นบวกเข้าไปด้วย
 7. สบตา
การสบตาเป็นการส่งสัญญาณถึงความสนใจและความเปิดเผย ส่วนการหลบตาให้ผลตรงกันข้าม คือบอกถึงความไม่ใส่ใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้คุณจ้องตาคู่สนทนาเขม็งเหมือนจะเอาเรื่อง เพราะมันอาจให้ผลในทางก้าวร้าวมากกว่า
 8. พูดจาไม่ตื่นเต้น
ควรพูดจาให้ชัดเจนเป็นจังหวะจะโคนและมีช่วงจังหวะหยุด ไม่ใช่พูดเร็วปรื๋อเหมือนท่องมา ทางที่ดีควรฝีกพูดที่หน้ากระจกที่บ้านก่อนไปสัมภาษณ์งาน

จาก นิตยสาร Lisa

คนที่แสนดี TONY PHEE Feat.Q flure

PARADOX - คนบนฟ้า

4 วิธีดูแลความงาม ด้วยเกลือป่น

 

คุณอาจคาดไม่ถึงว่าเกลือที่คุณใช้ปรุงอาหารอยู่ทุกวันนั้น ก็สามารถช่วยดูแลความงามให้คุณได้ด้วย ยังไงน่ะเหรอ? นี่คือรายละเอียด

ช่วยทำให้ผิวนุ่มขึ้น

เกลือนอกจากจะทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึกและเป็นตัวต่อต้านเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติแล้ว ยังช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปได้ด้วย โดยใช้เกลือผงประมาณหนึ่งกำมือนวดเบาๆ เป็นแนววงกลมลงบนผิว แล้วล้างน้ำออก

ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้เส้นผม

คุณอาจสังเกตเห็นว่าเวลาไปเที่ยวทะเลแล้วเส้นผมมักจะอยู่ทรงสวย นั่นก็เพราะเกลือในน้ำทะเลจับตัวอยู่บนเส้นผม ทำให้เส้นผมมีน้ำหนักและอยู่ทรงได้ คุณสามารถมีผมสวยอย่างนั้นโดยไม่ต้องลงทะเลได้ โดยผสมเกลือผงหนึ่งช้อนโต๊ะเข้ากับน้ำสะอาดหนึ่งถ้วย คนให้เข้ากันแล้วเทลงในขวดสเปรย์ จากนั้นก็ฉีดลงบนเส้นผมในขณะแต่ทรง แล้วปล่อยให้แห้งเองตามธรรมชาติ

ขจัดความมันเยิ้ม

ในการทำให้ผิวที่เป็นมันเยิ้มดูไม่เป็นเงา รวมทั้งทำให้ทุกสภาพผิวดูมีชีวิตชีวาขึ้นนั้น ก็ผสมเกลือครึ่งช้อนชาเข้ากับคลีนเซอร์ที่คุณใช้ล้างหน้าตามปกติ จากนั้นก็นวดลงบนผิวหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด

ทำความสะอาดล้ำลึก

คุณสามารถทำความสะอาดผิวหน้าอย่างล้ำลึก ด้วยการผสมแครอทสับละเอียด ¼ ถ้วย เกลือผง ½ ช้อนชา และมายองเนส 1 ½ ช้อนชา แล้วตีให้เข้ากัน จากนั้น นำมาทาลงบนใบหน้าที่ยังชื้นๆ อยู่ ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างน้ำออก

จาก นิตยสารLisa

วิธีเผาผลาญ เมื่อกินเกินพิกัด

 

วิธีเผาผลาญเมื่อกินเกินพิกัด (สยามดารา)
          การอยากมีหุ่นสวย หลายคนจึงระมัดระวังการรับประทานอาหารเป็นพิเศษ แต่หากในคืนปาร์ตี้ที่เผลอทานเยอะจนเกินพิกัดก็ไม่ต้องกังวล มีวิธีเผาผลาญไขมันมาฝาก
         -  ดื่มน้ำส้มคั้นสด มีวิตามินที่ช่วยดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ หากรับประทานเป็นผล จะมีเส้นใยธรรมชาติ ช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว

         -  ทานอาหารจำพวกธัญพืช (ชนิดไขมันต่ำ) อาจทานตอนเช้า (หากไม่มีเวลาทานข้าว) ธัญพืชเหล่านี้ อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ระบบจะย่อยช้า ๆ เข้าสู่ร่างกาย ทำให้รู้สึกอิ่มท้องนาน
         -  เคลื่อนไหวร่างกาย หลังเลิกงานอาจเรียกเหงื่อด้วยการเดินเล่น หรือวิ่ง หากมีเวลาอาจเล่นกีฬาที่ชอบสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง (การเคลื่อนไหวเร็ว ๆ จะเผาผลาญได้ 140 แคลอรีในครึ่งชั่วโมง)
         -  เคี้ยวอาหารช้าๆ เพราะการทานเร็ว จะทำให้ทานมากเกินอัตราโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารหลัง 6 โมงเย็น หรือช่วงเวลากลางคืน
         -  ทานผัก-ผลไม้ เพราะผักจะให้พลังงานน้อย แต่ให้สารอาหารมาก ส่วนผลไม้ เลือกทานที่ให้พลังงานต่ำ เช่น ฝรั่ง มะม่วง ชมพู่ แตงโม แคนตาลูป เลี่ยงผลไม้หวานจัด ให้พลังงานสูง

ที่มา สยามดารา

ปัญหา…ปวดหัว

 


ปัญหาทางระบบประสาทอย่างหนึ่ง ที่สร้างความทรมานอย่างยิ่งให้กับผู้ที่ต้องเผชิญคือ อาการปวดหัว โดยมากมักเป็นๆ หายๆ บ้างก็ทราบสาเหตุ บ้างก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่เมื่อเป็นแล้วนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกายแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตในด้านอื่นๆ อีกด้วย
ปวดศีรษะ (Headaches)
ปัญหาของอาการปวดศีรษะมักเกิดจากสาเหตุต่างๆ ทั้งจากโรคของสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง โรคหลอดเลือดสมอง การอักเสบของเส้นประสาท และปัญหาที่มาจากปัจจัยภายนอก เช่น ความดันโลหิตสูง รับประทานยาบางชนิด เป็นไข้ กระดูกคอเสื่อม ความเครียด ไมเกรน สาเหตุต่างๆ เหล่านี้ อาจแยกจากกันไม่ได้ชัดเจน ต้องอาศัยการตรวจพิเศษและดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการตรวจรักษา เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

อาการสำคัญที่ควรพบแพทย์ด่วน
1.อาการปวดศีรษะเฉียบพลัน หรือปวดศีรษะอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
2.มีอาการอาเจียน เป็นไข้ คอแข็ง แขนขาชาและอ่อนแรง ตามองไม่เห็น เป็นอาการร่วมกับการปวดศีรษะ หรือเป็นอาการนำ
3.เสียการทรงตัว หมดสติ สับสนจำอะไรไม่ได้
4.ผู้ป่วยที่กินยาแก้ปวดเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน แต่อาการไม่ทุเลาหรือมีอาการมากขึ้น
ปวดศีรษะไมเกรน
ไมเกรนและความเครียด เป็นสาเหตุของการปวดศีรษะ 85-90% ของประชากรทั่วไป ปวดศีรษะไมเกรนมีอาการดังต่อไปนี้
- ปวดเป็นพักๆ จะเป็นๆ หายๆ ข้างใดข้างหนึ่ง ปวดตุบๆ เหมือนชีพจรกำลังเต้น บางรายปวดมากจนทำงานไม่ได้
- อาการปวดมักปวดบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา ขมับและขากรรไกร
- อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
- เห็นแสงสว่าง แสงสี ตาพร่ามัว ก่อนหรือระหว่างการปวดศีรษะ
- ระยะเวลาในการปวดนานประมาณ 2-3 ชั่วโมง ซึ่งมักพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
อาการปวดศีรษะมักจะเริ่มช่วงวัยรุ่นเมื่ออายุมากขึ้น บางครั้งผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนอาจจะมีอาการนำ aura เช่นเห็นแสงแลบ ตามองไม่เห็น ชาซีกใดซีกหนึ่งเรียกว่า “Classic Migrain” แต่ส่วนใหญ่ไม่มีอาการนำเรียกว่า “Common Migrain” ถึงแม้ว่าไมเกรนเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่หากเข้าใจโรคและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ก็สามารถทำให้ควบคุมโรคได้
สาเหตุของการปวดศีรษะไมเกรน
ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากการหลั่งสารเคมีรอบๆ เส้นเลือดสมอง ทำให้มีการปวดเกิดขึ้น
ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน
1.การนอนหลับมาก หรือน้อยเกินไป หรือนอนไม่เป็นเวลา
2.รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา หรืออดอาหารนานๆ น้ำตาลในเลือดต่ำ
3.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และอาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรสและสารกันบูด เนยแข็ง ช็อกโกแลต
4.สิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง อากาศร้อน รวมทั้งกลิ่นต่างๆ เช่น กลิ่นน้ำหอม กลิ่นเหม็น ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสีย
5.การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ
6.ฮอร์โมนเพศสูง ช่วงมีประจำเดือน และการตั้งครรภ์ในช่วงเดือนแรกๆ
การวินิจฉัย
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคโดยการซักประวัติและตรวจร่างกายทางระบบประสาท โดยถามถึงลักษณะอาการปวด ตำแหน่งที่ปวด ความรุนแรงของอาการปวด อาการเตือนก่อนปวด และอาการร่วม รวมถึงระยะเวลาที่ปวดแต่ละครั้ง ความถี่ของการปวด เป็นต้น สำหรับการปวดศีรษะจากโรคอื่นๆ อาจมีลักษณะคล้ายกัน บางครั้งจึงมีความจำเป็นต้องตรวจพิเศษ เพื่อจำแนกโรคให้ชัดเจน
การรักษาไมเกรน
1.ควรดูแลและรักษาสุขภาพอย่างใกล้ชิด นอนให้เพียงพอ นอนให้เป็นเวลา
2.หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ท่านสามารถสังเกตได้ เช่น อาหาร สิ่งแวดล้อม
3.การรักษาเพื่อขจัดความปวดโดยการใช้ยา ซึ่งมีทั้งยาแก้ปวดไมเกรน และยาป้องกันไมเกรน ซึ่งการจะใช้ยาชนิดใด ควรได้รับการแนะนำหรือปรึกษาจากแพทย์ก่อน

ที่มา ไทยรัฐ

เบียร์… ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพนะ

 

เบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด มีวิตามินและเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง

สำหรับ คอเบียร์คงหูผึ่งเมื่อมีคนบอกว่าเบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถึงอย่างไรก็ควรดื่มพอประมาณ แล้วเหตุใดฝรั่งจึงบอกว่าเบียร์ดีมีประโยชน์ เหตุผลก็คือเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น

ป้องกันโรคหัวใจ จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 - 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน

ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต

ช่วยลดความดันโลหิต แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

ป้องกันเบาหวาน ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดี นักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์

ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูก สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น

ช่วยให้อายุยืน จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 - 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาว เนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ

ป้องกันท้องร่วง โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย

ต้านความเครียด นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์

ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%

ป้องกันโรคนอนไม่หลับ สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ

ช่วยต้านมะเร็ง เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระตัวร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง

ช่วยให้ผิวสวย ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม

10 สูตรผิวสวย จากผัก 5 ชนิด

บัวบก
        
         อุดมด้วยวิตามินบีรวม ซี เบต้าแคโรทีน และมีสารเอเชียติโคไซด์ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว และช่วยสมานแผล

          สูตร 1 : ครีมสมานผิว นำใบบัวบก 1 ถ้วย โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย และน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา มาปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อครีม ทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20-25 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำเย็น 
         สูตร 2 : ครีมแก้แพ้ นำใบบัวบก 1/2 ถ้วย วุ้นว่านหางจระเข้ 3 ช้อนโต๊ะ และแตงกวา 1/2 ถ้วย มาปั่นรวมกันจนละเอียด ทาบริเวณที่แพ้ มีผดผื่นคัน หรือบวมแดงจากการแพ้แดด ทาทิ้งไว้ 20-25 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น

ผักกาดหอม 
         เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยปรับสภาพผิวให้แข็งแรง เหมาะกับคนผิวแพ้ง่าย 
          สูตร 1 : ลดความหยาบกร้าน นำผักกาดหอมหั่น 1 ถ้วย โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย และวิตามินอี 1 แคปซูล (400 มก.) ปั่นรวมกันให้ได้เนื้อครีมข้น ทาทั่วใบหน้าแล้วใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ ประมาณ 2 นาที ทิ้งไว้ 25 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น 
         สูตร 2 : ผิวขาวเนียนใส ปั่นผักกาดหอม 1 ถ้วยกับนมสด 1/3 ถ้วย วุ้นว่านหางจระเข้ 3 ช้อนโต๊ะ ไข่แดง 1
ฟอง และน้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา จนละเอียดเป็นครีม ทาใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น


ผักชีฝรั่ง 
         ในต่างประเทศนิยมนำสารสกัดจากใบและรากผักชีฝรั่งมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงฟื้นฟูผิว เนื่องจากมีแคลเซียม วิตามินบี1 บี2 และวิตามินซีสูง 
          สูตร 1 : ลดจุดด่างดำ ปั่นรากและใบผักชีฝรั่ง 1 ถ้วย โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย และไข่แดง 1 ฟองให้ละเอียดเป็นเนื้อครีมข้น ทาทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น 
         สูตร 2 : โลชั่นฟื้นฟูสภาพผิว นำรากและใบผักชีฝรั่ง 2 ถ้วยปั่นกับน้ำต้มสุก 1 ถ้วย กรองเอาแต่น้ำ แล้วปั่นอีกครั้งกับวุ้นว่านหางจระเข้ 1/2 ถ้วย ทาใบหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น
ภาพ:Phugthong_6.jpg

ฟักทอง 
         อุดมด้วยวิตามินบีรวม ซี สารต้านอนุมูลอิสระ และเบต้าแคโรทีน ช่วยสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นทดแทนเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ปกป้องโครงสร้างผิวจากแสงแดด มลภาวะ ลบริ้วรอย และช่วยชะลอวัย 
          สูตร 1 : ครีมขัดหน้าขาวใส ใช้เนื้อฟักทองปอกเปลือก 1/2 ถ้วย ถั่วเขียว (แช่น้ำทิ้งไว้ 2 ชั่วโมง) 3 ช้อนโต๊ะ นมสด 1/2 ถ้วย และน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นรวมกันจนละเอียดเป็นเนื้อครีม ทาให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ เน้นบริเวณหน้าผาก จมูก คาง ประมาณ 5 นาที ทิ้งไว้อีก 15 นาที ใช้สำลีชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ เช็ดออกแล้วล้างด้วยน้ำเย็น 
         สูตร 2 : ครีมบำรุงผิว นำเนื้อฟักทองนึ่งสุก 1 ถ้วย โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันดอกคำฝอย 2 ช้อนชา มาปั่นรวมกันให้ละเอียด ทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 25 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำเย็น

ข้าวโพด 
         นิยมนำมาเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และช่วยชะลอวัย เนื่องจากมีวิตามินซี บี1 และสารต้านอนุมูลอิสระแซนโทฟิลล์ (Xanthophyll) 
          สูตร 1 : โลชั่นลดจุดด่างดำ ปั่นเมล็ดข้าวโพด 1 ถ้วยกับน้ำต้ม 1/3 ถ้วยจนละเอียด กรองเอาแต่น้ำ ผสมน้ำมะนาว 2 ช้อนชาและน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที ทาทับอีกครั้งแล้วทิ้งไว้อีก 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น 
         สูตร 2 : สูตรครีมหน้าขาว-กระชับรูขุมขน ปั่นเมล็ดข้าวโพด 1 ถ้วยกับน้ำต้มสุก 3 ช้อนโต๊ะจนเป็นครีม เติมน้ำมะนาว 3 ช้อนชาและไข่ขาว 1 ฟองปั่นต่อจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาทาทั่วใบหน้า ใช้ปลายนิ้วคลึงเบาๆ เน้นบริเวณหน้าผาก จมูก คาง ประมาณ 10 นาที พอกทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ตามด้วยน้ำเย็น

จาก สยามดารา

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วิธีดูแลผิว

เครื่องดื่มสุขภาพดี

         วิตามินซีสูงจากน้ำฝรั่ง

         น้ำฝรั่ง มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันและมีสาร เบต้า-แคโรทีน ช่วยลดสารพิษในร่างกาย ทั้งยังป้องกันไม่ให้ไขมันจ้บที่ผนังหลอดเลือด
 

ส่วนผสม
ฝรั่งแก่จัด (หั่นชิ้นเล็กๆ) 30 กรัม ( 2 ช้อนคาว )
น้ำต้มสุก 200 กรัม ( 14 ช้อนคาว )
น้ำเชื่อม 15 กรัม ( 1 ช้อนคาว )
เกลือป่นเล็กน้อย 2 กรัม ( 2/5 ช้อนชา )
วิธีทำ
 
เลือกฝรั่งที่แก่จัด ล้างน้ำสะอาด ฝานเนื้อชิ้นเล็กๆนำใส่เครื่องปั่น เติมน้ำสุก ปั่นจน ละเอียดแล้วกรองด้วยผ้าขาวบางเติมน้ำเชื่อมและเกลือป่นเล็กน้อย ชิมรสตามใจชอบ
ประโยชน์ที่ร่างกายได้รับ

คุณค่าทางอาหาร : มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันและมีสาร เบต้า-แคโรทีน ช่วยลดสารพิษในร่างกาย ทั้งยังป้องกันไม่ให้ไขมันจ้บที่ผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเลือดแข็งตัว
คุณค่าทางยา : ช่วยลดระดับไขมันในหลอดเลือด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดอุดตัน


เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ

         Pizzaเพื่อสุขภาพ ทำง่ายภายใน 10 นาที

          อาหารอิตาเลี่ยนที่ได้รับความนิยมคือ พิซซ่า Pizza ที่อร่อยถูกใจใครหลายๆคนกันใช่ไหมค่ะ แต่รู้ไหมมีปริมาณแคลอรี่ที่สูงมาก ทานมากๆอาจจะทำให้อ้วนไ้โดยไม่รู้ตัวเลยล่ะคะ วันนี้เรามีสูตร Healthy Pizza สูตรพิซซ่าเพื่อสุขภาพมาเอาใจคุณผู้หญิงสนุกกิน แต่ห่วงสุขภาพและรูปร่าง ลองมาทำกันเลยค่ะ

 

Healthy Pizza
 
ส่วนผสม (สำหรับถาดขนาด 22 ซ.ม. 1ถาด )เวลาเตรียม 10 นาที ปรุง10 นาที (ไม่รวมเวลาอบ)
 
ส่วนผสมแป้งพิซซ่า
 
  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม
  • เบคกิ้งโซดา 2 กรัม
  • เกลือ ½ ช้อนชา
  • น้ำมันมะกอก ½ ช้อนโต๊ะ
  • น้ำร้อน 5 ช้อนโต๊ะ
  • ส่วนผสมซอสพิซซ่า
  • ซอสมะเขือเทศ 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา ½ ช้อนโต๊ะ
 
 
 
ส่วนผสมหน้าพิซซ่า
 
  • ซูกินี 1 ผล
  • พริกหวานสีเหลืองและสีแดงอย่างละ ¼ ผล
  • เห็ดแชมปิญอง 2 ลูก
  • น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกขี้หนูซอย 1 เม็ด
  • โหระพา
  • เกลือพริกไทยเล็กน้อย
  • มะกอกดำตามชอบ

 
 
วิธีทำ
 
 
1.เริ่มทำแป้งพิซซ่าโดย ผสมแป้ง เบกกิ้งโซดาและเกลือลงอ่างผสม ให้เข้ากัน
 
2.ทำหลุมตรงกลางภาชนะ ใส่น้ำมันมะกอกและน้ำร้อน นวดให้เข้ากันประมาณ 1 นาที
 
3.วางแป้งที่ได้ลงบนกระดาษสำหรับอบ ใช้ไม้คลึงให้เป็นแผ่นกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 22 เซนติเมตร ใช้ส้อมจิ้มให้ทั่ว ก่อนเข้าอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส 10 นาที
 
4. ทำซอสพิซซ่าโดยผสมส่วนผสมซอสพิซซ่าให้เข้ากัน
 
5. หั่นซูกินี พริกหวาน และเห็ดให้พอดีคำ นำลงผัดเร็วๆกับเกลือและพริกไทย
 
6.เมื่อแป้งสุกนำออกจากเตา ทาซอสพิซซ่าและวางผักที่ผัดไว้ให้ทั่ว โรยพริกขี้หนู มะกอก แล้วนำเข้าอบอีกสักครู่พร้อมเสริ์ฟรับประทานร้อนๆ
 
ที่มา : bloggang